แมกนีเซียม (อังกฤษ: Magnesium) เป็นธาตุในตารางธาตุที่มีสัญลักษณ์ Mg และเลขอะตอม 12 แมกนีเซียมเป็นธาตุที่มีอยู่มากเป็นอันดับ 8 และเป็นส่วนประกอบของเปลือกโลกประมาณ 2% และเป็นธาตุที่ละลายในน้ำทะเลมากเป็นอันดับ 3 โลหะอัลคาไลเอิร์ธตัวนี้ส่วนมากใช้เป็นตัวผสมโลหะเพื่อทำโลหะผสมอะลูมิเนียม-แมกนีเซียม
1.Joseph Black : แพทย์ชาวสก็อต,นักฟิสิกส์,นักเคมีและคนแรกที่ได้รับการยอมรับว่าผงขาว (MgO) เป็นสารประกอบของตัวเองใน ค.ศ.1755 เขาพบว่ามันถูกแยกออกจากกันแคลเซียมคาร์บอเนต
2.Sir Humphry Davy : นักเคมีชาวอังกฤษที่มีเครดิตอย่างกว้างขวางว่าเป็นบุคคลที่ค้นพบแมกนีเซียมใน ค.ศ.1808 ผู้บุกเบิกในการอิเล็กโทรไลต์, Davy ใช้วิธีการใหม่แล้วที่จะแยกแมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบของตัวเอง
3.Antoine AB Bussy : นักเคมีชาวฝรั่งเศสที่เป็นคนแรกที่ค้นพบวิธีการที่จะแยกแมกนีเซียมในปริมาณมาก เขาเผยแพร่ผลการวิจัยของเขาใน ค.ศ.1831 ใน"M?moire sur le Radical m?tallique de la Magn?sie"
สามารถทำปฏิกิริยาอย่างช้าๆกับน้ำเย็น และจะรวดเร็วมากขึ้นถ้าใช้น้ำร้อนได้ก๊าซไฮโดรเจน และทำปฏิกิริยากับกรดได้อย่างรวดเร็วเกิดก๊าซไฮโดรเจน แมกนีเซียมมีสถานะเป็นโลหะ ถูกนำมาใช้ในทางการค้าและเมื่อนำแมกนีเซียมมาเปรียบเทียบกับโหละชนิดอื่นๆ คุณสมบัติที่เด่นชัดที่สุดของแมกนีเซียมคือความเป็นโลหะที่มีน้ำหนักเบา นอกจากนี้แมกนีเซียมยังมีคุณสมบัติในการนำไปแปรรูปที่ง่ายมากและยังมีความแข็งแรงมากอีกด้วย ซึ่งความแข็งแรงของของแมกนีเซียมนั้นจะขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ ยิ่งบริสุทธิ์มากความแข็งแรงของแมกนีเซียมก็จะน้อยลง เพราะด้วยเหตุนี้แมกนีเซียมส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดที่ถูกนำมาใช้จะอยู่ในรูปของแมกนีเซียมผสม แมกนีเซียมสามารถนำไปขึ้นรูปได้โดยรีด การดึง การตี ได้ง่าย และสามารถนำใช้ทำดอกไม้ไฟ พลุ ได้อีกด้วย และใช้ทำเป็นวัสดุผสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการออกซิเดชันในโลหะต่างๆ หากเกิดการออกซิเดชันแล้วจะเกิดการกร่อนของโลหะเกิดขึ้น
1.แมกนีเซียมมีความสำคัญทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เป็นธาตุที่ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดได้ เป็นส่วนในการช่วยการเปลี่ยนแปลงน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานอีกด้วย โดยทั่วไปปกติในร่างกายของมนุษย์จะมีแมกนีเซียมอยู่เฉลียอยู่ที่ประมาณ 21 กรัม หรือ 21000 มิลลิกรัม
2.หากร่างกายขาดแมกนีเซียม จะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันป้องกันระบบกล้ามเนื้อและระบบย่อยอาหารอาจทำงานผิดปกติ ระบบประสาทบางส่วนอาจถูกทำลาย กระดูกอ่อนจนร่างกายรับน้ำหนักไม่ไหว ร่างกายจะเก็บสะสมพลังงานไว้ไม่ได้ โดยศัตรูของแมกนีเซียม ได้แก่ แอลกอฮอล์ และยาขับปัสสาวะ นอกจากนี้คนที่ผิวแพ้ง่ายมักจะขาดแมกนีเซียม เนื่องจากแมกนีเซียมน้อยเกินไปจะทำให้เกิดการแบ่งเซลล์ที่ไม่ดี การสร้างเกราะป้องกันผิวก็แย่ตามไปด้วย
3.แมกนีเซียมยังจำเป็นสำหรับการพัฒนาเซลล์ให้เปลี่ยนเป็นเซลล์ชั้นขี้ไคลด้วยและยังช่วยลดการหลังของฮีสตามีน ที่เป็นสาเหตุของอาหารคันของผิวหนังด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยเผาผลาญไขมันและเปลี่ยนเป็นพลังงาน ช่วยรักษาอาการซึมเศร้า ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ช่วยทำให้หลอดเลือดและหัวใจแข็งแรง ป้องกันโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ช่วยทำให้ฟันแข็งแรง และยังช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้อีกด้วย
แมกนีเซียมเป็นธาตุที่มีมากที่สุดเป็นอันดับ8 และเป็นส่วนประกอบของเปลือกโลกประมาณ 2% ของเปลือกโลกโดยน้ำหนักและแมกนีเซียมก็เป็นธาตุที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดที่ละลายในน้ำทะเล แมกนีเซียมมีอยู่มากในธรรมชาติ และจะพบในแร่ธาตุหินมาก เช่น โดโลไมต์ , แม่เหล็ก แมกนีเซียมยังพบในน้ำทะเล น้ำทะเลใต้ดิน แมกนีเซียมมีโครงสร้างเป็นโลหะที่มีมากที่สุดในเปลือกโลกเกินโดยเฉพาะมีมากกว่าอะลูมิเนียมและเหล็ก
การสัมผัส: การสัมผัสกับแมกนีเซียม แมกนีเซียมมีความเป็นพิษที่ต่ำและไม่ถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การสูดดม : การสูดดมทำให้ระคายเคืองเยื่อเมือกและระบบทางเดินหายใจส่วนบน ส่งผลให้หายใจไม่สะดวก
แต่การบริโภคผงแมกนีเซียมในปริมาณมากอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง แมกนีเซียมยังไม่ได้ทดสอบ แต่มันก็ไม่ได้สงสัยว่าเป็นสารก่อมะเร็งกลายพันธุ์ การสัมผัสกับแมกนีเซียมออกไซด์ ภายหลังจากการเผาไหม้, การเชื่อมหรืองานโลหะหลอมเหลว สามารถทำให้ไข้ฟูมโลหะที่มีอาการชั่วคราวต่อไปนี้: มีไข้หนาวสั่นคลื่นไส้อาเจียนและปวดกล้ามเนื้อ เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นได้ 4-12 ชั่วโมงหลังจากได้รับและมีอายุนานถึง 48 ชั่วโมง
แมกนีเซียมอาจติดไฟได้เองเมื่อสัมผัสกับอากาศหรือความชื้นที่ระคายเคืองหรือเป็นพิษ ทำปฏิกิริยารุนแรงกับอนุมูลอิสระที่แข็งแกร่ง ทำปฏิกิริยารุนแรงกับสารที่ก่อให้เกิดไฟ
แนะนำให้รับประทาน แมกนีเซียม เป็นอาหารเสริมประมาณวันละ 300 มก. และควรรับประทาน แมกนีเซียม ที่ไม่มีผลทำให้เกิดอาการถ่ายเหลว เช่น แมกนีเซียม ออกไซด์ และ แมกนีเซียม ฟอสเฟต ซึ่งร่างกายจะได้รับธาตุฟอสฟอรัส ช่วยในการสร้างความหนาแน่นของกระดูก
แมกนีเซียม คือ ควรควบคุมปริมาณของแคลเซียมควบคู่ไปด้วย โดยอัตราส่วนของแคลเซียมต่อแมกนีเซียมควรจะอยู่ประมาณ600 มก.ต่อ300 มก. แต่ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่ได้รับแมกนีเซียมเพียง 150-300 มก. ในขณะที่แคลเซียมมีคนหันมาบริโภคมากขึ้นเพื่อป้องกันโรคกระดูกในผู้สูงอายุนั้นควรใส่ใจกับปริมาณของแมกนีเซียมด้วยเช่นกัน ผู้ดื่มนมในปริมาณมากควรหันมาบริโภคแมกนีเซียมให้มากขึ้น หากได้รับแคลเซียม มากเกินไปจะไปขัดขวางการดูดซึมแมกนีเซียมในร่างกาย
แมกนีเซียม เปรียบเสมือนคนงานที่ทำงานแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพียงเพื่อจะสังเคราะห์โปรตีนให้ร่างกาย และเป็นโคเอนไซม์ที่สำคัญที่สุดชนิดหนึ่งในร่างกายที่จะทำงานร่วมกับ แคลเซียม อันเป็นประโยชน์ทำงานในระบบต่างๆ ของร่างกาย แมกนีเซียม ยังช่วยให้การผลิตฮอร์โมนต่างๆ เป็นปกติ มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบกล้ามเนื้อและเซลล์ต่างๆ มีผลทำงานของระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธุ์ ระบบเลือด และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยหน้าที่และประโยชน์ของแมกนีเซียม มีดังนี้
1. มีส่วนควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อเช่นเดียวกับ แคลเซียม โดยจำเป็นสำหรับการส่งสัญญาณทางประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อ
3. ช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการต้านทานความหนาว ในที่อากาศเย็น ความต้องการแมกนีเซียมจะสูงขึ้น
7. ป้องกันโรคทางหลอดเลือดหัวใจ โดยจะไปลดความดันเลือดลงและป้องกันการเกาะของโคเลสเตอรอลในหลอดเลือดแดง ช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
9. อาจทำหน้าที่เป็นตัวยาสงบประสาทตามธรรมชาติช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรน และลดความถี่ในการเกิดได้ ลดอาการซึมเศร้า และช่วยให้นอนหลับโดยเป็นตัวที่ช่วยในการสร้างสารเมลาโตนิน
16.การรับประทานแมกนีเซียม จะช่วยลดการเกิดตะคริวในหญิงมีครรภ์ที่มีระดับของแมกนีเซียมต่ำได้
17.ช่วยป้องกันการเกิดอาการ ไมเกรน คนที่มีปัญหาโรค ไมเกรน มักจะมีปริมาณ แมกนีเซียม ในเลือดต่ำ
สารประกอบแมกนีเซียมถูกนำมาใช้เป็นวัสดุทนความร้อนในเตาเผาวัสดุ และใช้บุผิวในการผลิตโลหะ ( เหล็ก เหล็กกล้า โลหะ แก้วและปูนซีเมนต์ ) ที่มีความหนาแน่นเพียง2ใน3ของอะลูมิเนียม และมีการใช้งานจำนวนมากในกรณีที่มีการลดน้ำหนักในการสร้างเครื่องบินและสร้างขีปนาวุธ